Search

+XXX XXX XXXX

บอดี้เวท vs เวทเทรนนิ่ง แบบไหนที่เหมาะกับการลดน้ำหนักของคุณ?

บอดี้เวท vs เวทเทรนนิ่ง แบบไหนที่เหมาะกับการลดน้ำหนักของคุณ?

การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักและเสริมสร้างสุขภาพมีหลากหลายวิธี หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมคือการออกกำลังกายด้วยน้ำหนักตัวเอง (บอดี้เวท) และการออกกำลังกายด้วยเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) ทั้งสองมีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน ทั้งการสร้างกล้ามเนื้อและการเผาผลาญพลังงานที่ต่างกัน การเลือกประเภทการฝึกขึ้นอยู่กับเป้าหมายการออกกำลังกายและความสะดวกของแต่ละบุคคล บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจข้อดีข้อเสียของ บอดี้เวท vs เวทเทรนนิ่ง วิธีการเลือกที่เหมาะสม รวมถึงท่าออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมัน การสร้างกล้ามเนื้อ และการเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย

 

บอดี้เวท คืออะไร?

บอดี้เวท คืออะไร?

บอดี้เวท หรือ Bodyweight Training คือการออกกำลังกายที่ใช้น้ำหนักตัวเองในการฝึก เพื่อสร้างแรงต้านโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ การออกกำลังกายประเภทนี้สามารถทำได้ทุกที่ ไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่สวนสาธารณะ ท่าที่นิยม เช่น วิดพื้น สควอท และแพลงก์ เป็นตัวอย่างของการใช้บอดี้เวทเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่น

ข้อดีของบอดี้เวท

  • ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม – การออกกำลังกายด้วยบอดี้เวท ไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์
  • พัฒนาความยืดหยุ่นของร่างกาย – ช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นและเสริมสร้างความทนทาน
  • ฝึกได้ทุกที่ทุกเวลา – ไม่ต้องมีพื้นที่ใหญ่ สามารถฝึกได้แม้ในห้องเล็ก ๆ
  • เสี่ยงน้อยต่อการบาดเจ็บ – ไม่ใช้น้ำหนักภายนอก ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

ข้อเสียของบอดี้เวท

  • ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ – การใช้เพียงน้ำหนักตัว อาจไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อขนาดใหญ่
  • อาจรู้สึกเบื่อหน่าย – ท่าบางท่า อาจไม่ท้าทายเมื่อฝึกซ้ำ ๆ

 

เวทเทรนนิ่ง คืออะไร?

เวทเทรนนิ่ง คืออะไร?

เวทเทรนนิ่ง คือ การใช้น้ำหนักจากอุปกรณ์ภายนอกเช่น ดัมเบล บาร์เบล และเครื่องยกน้ำหนัก เพื่อสร้างแรงต้าน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและกล้ามเนื้อให้ชัดเจน เวทเทรนนิ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อและปรับรูปร่างให้เฟิร์มชัดขึ้น

ข้อดีของเวทเทรนนิ่ง

  • ช่วยสร้างกล้ามเนื้ออย่างมีประสิทธิภาพ – ทำให้กล้ามเนื้อขยายตัวและเพิ่มความแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว
  • เพิ่มพลังเผาผลาญของร่างกาย – การมีกล้ามเนื้อมากขึ้นช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานขณะพัก
  • สามารถปรับระดับความท้าทายได้ – สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ตามความต้องการเพื่อให้การฝึกมีความท้าทายมากขึ้น

ข้อเสียของเวทเทรนนิ่ง

  • ต้องใช้อุปกรณ์ – ต้องการดัมเบล บาร์เบล หรือเครื่องยกน้ำหนัก
  • เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ – หากไม่ควบคุมน้ำหนักหรือใช้เทคนิคที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้บาดเจ็บ
  • มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม – หากฝึกในยิมหรือซื้อน้ำหนักเพิ่มเติมต้องมีการลงทุนค่าใช้จ่าย

 

วิธีการเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเอง

วิธีการเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเอง

การเลือกการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับตัวเอง ระหว่าง บอดี้เวท vs เวทเทรนนิ่ง มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากแต่ละคนมีเป้าหมาย สุขภาพ และสภาพร่างกายที่แตกต่างกัน การฝึกออกกำลังกายที่ตรงกับความต้องการและความพร้อมของร่างกายจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้นและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ โดยหลักการพิจารณามีดังนี้

1. กำหนดเป้าหมายการออกกำลังกายของตัวเอง

การกำหนดเป้าหมายช่วยให้การเลือกการออกกำลังกายมีทิศทางที่ชัดเจน เช่น

  • ลดน้ำหนักและเผาผลาญไขมัน: การเลือกออกกำลังกายที่เน้นการเผาผลาญ เช่น คาร์ดิโอ (วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน) หรือบอดี้เวทที่เน้นการใช้กล้ามเนื้อหลายส่วน เช่น สควอท เบอร์พี จะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้ดี
  • สร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรง: เวทเทรนนิ่งหรือน้ำหนักตัวเองที่เน้นการใช้น้ำหนักเพื่อสร้างกล้ามเนื้อจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
  • เพิ่มความยืดหยุ่นและลดความเครียด: โยคะและพิลาทิสเป็นทางเลือกที่ดี ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและผ่อนคลายจิตใจ

2. พิจารณาความสะดวกและสิ่งที่มีอยู่

ความสะดวกในแง่ของสถานที่ เวลา และอุปกรณ์เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกการออกกำลังกาย เช่น

  • ความสะดวกในการเดินทาง: หากไม่สะดวกเดินทางไปยิม ควรเลือกการออกกำลังกายที่บ้าน เช่น บอดี้เวทหรือโยคะ
  • มีอุปกรณ์หรือไม่: หากมีอุปกรณ์อย่างดัมเบลหรือบาร์เบล ก็สามารถเลือกการฝึกแบบเวทเทรนนิ่งได้ แต่ถ้าไม่มีอุปกรณ์ การฝึกด้วยน้ำหนักตัวเองก็สามารถเป็นทางเลือกที่ดี
  • ตารางเวลา: สำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด การออกกำลังกายแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training) จะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้ดีในเวลาสั้น ๆ

3. ประเมินความพร้อมของร่างกาย

ตรวจสอบสภาพร่างกายและระดับความแข็งแรงของตนเองเพื่อเลือกการฝึกที่เหมาะสมและปลอดภัย

  • ผู้เริ่มต้น: การฝึกด้วยบอดี้เวทหรือการออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินเร็ว หรือปั่นจักรยานแบบเบา ๆ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
  • มีปัญหาสุขภาพ: หากมีปัญหาสุขภาพ เช่น ข้อเข่าหรือหลัง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกการฝึกที่เหมาะสม
  • ระดับความแข็งแรง: ผู้ที่มีประสบการณ์และความแข็งแรงมากพอสามารถฝึกเวทเทรนนิ่งหรือคาร์ดิโอที่มีความเข้มข้นสูงได้ แต่ผู้ที่เริ่มต้นควรเริ่มด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ ก่อนเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ

4. ลองฝึกหลาย ๆ แบบเพื่อค้นหาความชอบ

การลองฝึกหลายรูปแบบจะช่วยให้รู้ว่าตัวเองชอบหรือเหมาะกับการฝึกแบบใดมากที่สุด และช่วยลดความเบื่อหน่ายในการออกกำลังกาย

  • ลองออกกำลังกายทั้งบอดี้เวท คาร์ดิโอ และเวทเทรนนิ่ง เพื่อดูว่าการฝึกแบบไหนทำให้รู้สึกสนุกและมีแรงจูงใจ
  • เปลี่ยนแปลงรูปแบบการฝึกเป็นประจำ เช่น อาทิตย์หนึ่งฝึกบอดี้เวท อีกอาทิตย์ฝึกโยคะหรือพิลาทิส

5. สร้างโปรแกรมฝึกที่สมดุล

การออกกำลังกายที่สมดุลระหว่างการฝึกคาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง และยืดหยุ่น จะช่วยให้ร่างกายพัฒนาได้อย่างครอบคลุมและปลอดภัย

  • ผสมผสานการฝึกหลายแบบ: การฝึกที่หลากหลาย เช่น การฝึกคาร์ดิโอ 2 วัน เวทเทรนนิ่ง 2 วัน และโยคะ 1 วัน ช่วยให้ร่างกายได้รับการพัฒนาในหลายด้าน
  • เพิ่มวันพักผ่อน: ให้เวลากล้ามเนื้อได้พักเพื่อฟื้นฟู การพักผ่อนช่วยให้กล้ามเนื้อและร่างกายแข็งแรงขึ้น

การเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าการฝึกแบบไหนดีที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้สึกสนุกและสามารถทำได้ต่อเนื่องหรือไม่ การออกกำลังกายที่ทำให้รู้สึกดีและมีความสุข จะช่วยให้คุณสามารถรักษาระยะการฝึกได้ยาวนาน และเห็นผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

 

ท่าออกกำลังกายที่ช่วยเผาผลาญไขมันและสร้างกล้ามเนื้อ

ท่าออกกำลังกายที่ช่วยเผาผลาญไขมันและสร้างกล้ามเนื้อ

การออกกำลังกายที่เน้นการเผาผลาญไขมันและสร้างกล้ามเนื้อพร้อมกันมีหลายท่าที่สามารถทำได้ทั้งที่บ้านและในยิม ท่าเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ แต่ยังเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรงให้กับร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำเป็นคาร์ดิโอแบบเข้มข้นหรือใช้การฝึกแบบเป็นรอบ (circuit training) ท่าออกกำลังกายที่แนะนำ มีดังนี้

ท่าออกกำลังกายบอดี้เวทที่แนะนำ

  • วิดพื้น (Push-Up): เสริมกล้ามเนื้อแขนและหน้าอก
  • สควอท (Squat): เสริมกล้ามเนื้อขาและสะโพก
  • แพลงก์ (Plank): พัฒนากล้ามเนื้อแกนกลางและสร้างความแข็งแรง
  • ลันจ์ (Lunge): ช่วยสร้างกล้ามเนื้อขาและสะโพก พร้อมเสริมสร้างความสมดุล

ท่าออกกำลังกายเวทเทรนนิ่งที่แนะนำ

  • ดัมเบลเพรส (Dumbbell Press): พัฒนากล้ามเนื้อหน้าอกและแขน
  • เดดลิฟท์ (Deadlift): เสริมกล้ามเนื้อหลังและขา
  • บาร์เบลสควอท (Barbell Squat): เพิ่มความแข็งแรงของขาและสะโพก
  • ดัมเบลโรว์ (Dumbbell Row): ช่วยฝึกกล้ามเนื้อหลังและแขน

ออกกำลังกายที่บ้านโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์

การออกกำลังกายที่บ้านเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกออกไปยิม การฝึกท่าออกกำลังกายง่าย ๆ เหล่านี้ โดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยให้สามารถออกกำลังกายได้ทุกที่ทุกเวลา

  • สควอท (Squat): ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อขา
  • วิดพื้น (Push-Up): ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อแขนและหน้าอก
  • แพลงก์ (Plank): ช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง
  • ซิทอัพ (Sit-Up): พัฒนากล้ามเนื้อหน้าท้องและช่วยลดไขมันส่วนเกิน

 

อาหารที่เหมาะสำหรับการเพิ่มพลังในการออกกำลังกาย

อาหารที่เหมาะสำหรับการเพิ่มพลังในการออกกำลังกาย

การรับประทานอาหารที่เหมาะสมก่อนการออกกำลังกายมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากอาหารจะเป็นแหล่งพลังงานหลักที่ช่วยให้ร่างกายสามารถออกแรงและเพิ่มความทนทานได้เต็มที่ อาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมัน สร้างกล้ามเนื้อ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารที่ควรรับประทานก่อนและหลังการออกกำลังกายมีดังนี้

1. คาร์โบไฮเดรต – แหล่งพลังงานหลัก

คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญสำหรับการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก เช่น คาร์ดิโอหรือการฝึกเวทเทรนนิ่ง เมื่อรับประทานคาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะเปลี่ยนให้เป็นกลูโคสและสะสมในรูปไกลโคเจนที่กล้ามเนื้อ ซึ่งจะถูกนำมาใช้เป็นพลังงานระหว่างการออกกำลังกาย

  • ตัวอย่างคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสม: ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ข้าวโอ๊ต มันเทศ และผลไม้
  • เวลาที่ควรทาน: รับประทานก่อนออกกำลังกายประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายมีเวลาในการย่อยและเปลี่ยนเป็นพลังงาน

2. โปรตีน – ซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อ

โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อ การรับประทานโปรตีนหลังการออกกำลังกายจะช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นฟูเร็วขึ้นและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้ดี

  • ตัวอย่างโปรตีนที่เหมาะสม: อกไก่ ไข่ นม เนื้อปลา และพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเลนทิล หรือโปรตีนเชคที่ไม่มีน้ำตาลเจือปน
  • เวลาที่ควรทาน: หลังการออกกำลังกายประมาณ 30-60 นาที เพื่อช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

3. ไขมันดี – เพิ่มความอิ่มและพลังงานระยะยาว

ไขมันดีช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนานและเป็นแหล่งพลังงานที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายระยะยาว ช่วยให้ร่างกายสามารถดึงพลังงานมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง

  • ตัวอย่างไขมันดี: อะโวคาโด ถั่วและเมล็ดพืชต่าง ๆ น้ำมันมะกอก และน้ำมันมะพร้าว
  • เวลาที่ควรทาน: สามารถทานไขมันดีได้ในมื้ออาหารก่อนการออกกำลังกาย แต่ไม่ควรรับประทานปริมาณมากจนเกินไป

4. น้ำ – การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ

น้ำเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการออกกำลังกาย เพราะการขาดน้ำอาจทำให้ร่างกายอ่อนล้าและสูญเสียสมรรถภาพระหว่างการออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำให้เพียงพอทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการออกกำลังกายเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย

  • ปริมาณที่แนะนำ: ดื่มน้ำประมาณ 500 มิลลิลิตร ก่อนการออกกำลังกาย 1-2 ชั่วโมง และระหว่างการออกกำลังกายควรจิบน้ำบ่อย ๆ ตามความต้องการของร่างกาย

5. อาหารเสริมพลังงาน

สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มพลังงานอย่างรวดเร็ว อาหารเสริมพลังงานเช่น กล้วย แอปเปิล โยเกิร์ต หรือเมนูของว่างเพื่อสุขภาพ สามารถเป็นตัวเลือกที่ดี การรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายจะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานทันทีและไม่หนักท้อง

  • ตัวอย่างอาหารเสริมพลังงาน: กล้วย แอปเปิล ขนมปังโฮลวีทพร้อมเนยถั่ว หรือโยเกิร์ต
  • เวลาที่ควรทาน: ทานก่อนการออกกำลังกาย 30-60 นาที เพื่อให้ร่างกายสามารถใช้พลังงานจากอาหารได้ทันที

การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสามารถดึงพลังงานมาใช้ได้อย่างเต็มที่ และช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การเลือกชนิดอาหารและเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับประเภทและความเข้มข้นของการออกกำลังกาย รวมถึงความต้องการพลังงานของแต่ละบุคคล

 

ข้อควรระวังในการออกกำลังกายทั้งสองประเภท

ข้อควรระวังในการออกกำลังกายทั้งสองประเภท

การออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นบอดี้เวทหรือเวทเทรนนิ่งล้วนมีประโยชน์มากมาย แต่เพื่อให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ควรระวังและปฏิบัติตามข้อแนะนำต่อไปนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

การฝึกบอดี้เวท

  • อย่าหักโหมเกินไปในการฝึกท่าที่ต้องใช้กำลังมาก เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบได้
  • แม้ว่าไม่ต้องใช้น้ำหนักภายนอก แต่ร่างกายยังคงต้องการเวลาพักเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ควรจัดตารางพักให้เหมาะสม
  • ควรเพิ่มความหลากหลายในท่าฝึก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและการฝึกซ้ำ ๆ

การฝึกเวทเทรนนิ่ง

  • ควรเลือกน้ำหนักที่เหมาะสมกับความสามารถ ควรเพิ่มน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • การฝึกเวทเทรนนิ่งที่หนักเกินไป โดยไม่พักเพียงพอ อาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบหรือบาดเจ็บ ควรให้กล้ามเนื้อได้พักอย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนฝึกกล้ามเนื้อกลุ่มเดิมซ้ำ
  • ให้ความสำคัญกับการอบอุ่นร่างกายและยืดกล้ามเนื้อก่อนฝึกทุกครั้ง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการใช้น้ำหนักหนัก

ข้อควรระวังทั่วไป

การออกกำลังกายทั้งบอดี้เวทและเวทเทรนนิ่งมีข้อควรระวังที่ควรปฏิบัติคล้ายกัน เพื่อให้การฝึกมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ

  • คำนึงถึงสัญญาณของร่างกาย: หากรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายที่กล้ามเนื้อหรือข้อต่อ ควรหยุดพักและตรวจสอบอาการ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการฝืน
  • รักษาความสม่ำเสมอ: การฝึกอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ร่างกายปรับตัวและสร้างความแข็งแรงได้ดีขึ้น แต่ไม่ควรหักโหม ควรแบ่งวันฝึกและวันพักให้เหมาะสม
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการออกกำลังกาย เพื่อรักษาความสมดุลของร่างกายและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากจำเป็น: ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือเคยมีการบาดเจ็บ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือเทรนเนอร์ในการเลือกวิธีการฝึกที่เหมาะสมและปลอดภัย

 

การตั้งโปรแกรมออกกำลังกายที่บ้านและยิม

การตั้งโปรแกรมออกกำลังกายที่บ้านและยิม

การตั้งโปรแกรมออกกำลังกายที่ชัดเจนและเหมาะสมจะช่วยให้การฝึกมีประสิทธิภาพและเห็นผลได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะออกกำลังกายที่บ้านหรือในยิม การวางแผนที่ดีจะช่วยให้การฝึกสม่ำเสมอ ไม่เบื่อหน่าย และปลอดภัย โปรแกรมการฝึกที่บ้านและในยิมมีลักษณะต่างกันไปตามความสะดวกและอุปกรณ์ที่มี การตั้งโปรแกรมที่ดีควรครอบคลุมการออกกำลังกายหลายรูปแบบ เช่น คาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อความสมดุลของร่างกาย

การฝึกที่บ้าน

  • แบ่งเวลาการฝึกอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ เช่น วันจันทร์ พุธ และศุกร์
  • เลือกท่าบอดี้เวทที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ เช่น วิดพื้น สควอท และลันจ์

การฝึกในยิม

  • ควรมีตารางฝึกที่ชัดเจน เช่น การฝึกกล้ามเนื้อขาและแขนในวันจันทร์ การฝึกหน้าอกและหลังในวันพุธ และการฝึกแกนกลางและคาร์ดิโอในวันศุกร์
  • ใช้อุปกรณ์เวทเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เช่น บาร์เบล ดัมเบล และเครื่องยกน้ำหนัก

 

การเลือกออกกำลังกายระหว่าง บอดี้เวท vs เวทเทรนนิ่ง ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความสะดวกของแต่ละบุคคล บอดี้เวทเหมาะกับการเผาผลาญพลังงานและเพิ่มความยืดหยุ่น ในขณะที่เวทเทรนนิ่งช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและพัฒนาพลังของร่างกาย ควรเลือกการฝึกที่เหมาะสมและผสมผสานการออกกำลังกายสองแบบเพื่อให้ผลลัพธ์ดีที่สุด พร้อมกับการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างพลังงานในการฝึกได้เต็มที่ นอกจากนี้ ควรระมัดระวังในการฝึก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ และควรมีตารางฝึกที่ชัดเจนเพื่อให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพสูงสุด


คำถามที่พบบ่อย

1. ควรเริ่มฝึกบอดี้เวทหรือเวทเทรนนิ่งก่อน?

ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย หากต้องการเผาผลาญไขมันและเพิ่มความยืดหยุ่นควรเริ่มจากบอดี้เวท แต่หากต้องการสร้างกล้ามเนื้อชัดเจนให้เริ่มจากเวทเทรนนิ่ง

2. บอดี้เวทเหมาะกับการลดน้ำหนักหรือไม่?

เหมาะมาก เนื่องจากสามารถเผาผลาญพลังงานได้ดี โดยเฉพาะท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนพร้อมกัน

3. ฝึกเวทเทรนนิ่งที่บ้านได้หรือไม่?

ได้ โดยใช้อุปกรณ์น้ำหนัก เช่น ดัมเบล หรือใช้ของในบ้านแทนดัมเบล เช่น ขวดน้ำขนาดใหญ่

4. ควรเลือกอาหารแบบไหนก่อนออกกำลังกาย?

ควรรับประทานอาหารที่ให้พลังงานและย่อยง่าย เช่น ข้าวโอ๊ต ผลไม้ หรือโยเกิร์ต เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย


อ้างอิง

Scroll to Top